ที่มา https://www.checkinchill.com/content/
วัดพระธาตุหนองบัว ![]() ที่มา https://www.cityub.go.th วัดพระธาตุหนองบัว หรือ วัดหนองบัว เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ในตำบลในเมือง อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี มีพื้นที่ทั้งหมด 50 ไร่ 1 งาน 19 ตารางวา วัดพระธาตุหนองบัวสร้างเมื่อ พ.ศ. 2498 โดย นายฟอง สิทธิธรรม อดีตรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นชาวอุบลราชธานี ได้สร้างวัดขึ้นในที่นาของท่าน เพื่อให้เป็นที่ปฏิบัติธรรมฝ่ายวิปัสนาธุระของท่านพระอาจารย์ดี พระอาจารย์สิงห์ ขันทยาคโม หรือเจ้าคุณเทพญาณวิสิทธิ์ มีเนื้อที่ทั้งหมด 50 ไร่เศษ เป็นวัดที่สร้างขึ้นในวาระมงคลกึ่งพุทธกาล พุทธศตวรรษ 2500 โดยกำหนดสร้างขณะที่นายฟอง สิทธิธรรมถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานี ด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นกบฏภายใน ผู้ทำหน้าที่ติดต่อขอที่ดินสร้างวัดประกอบด้วย นายทองพูน ยุวมิตร และ นายอุ่น ไวยหงษ์ เป็นผู้นำ ได้พาคณะเดินทางไปหานายฟองที่เรือนจำกลางจังหวัดอุบลราชธานี นางฟองยินดีที่จะถวายที่ดินแปลงนี้ให้วัดแม้จะถูกกักขังอยู่ในเรือนจำ เสนาสนะสมัยแรกมีไม่มาก ประกอบด้วยศาลาโรงธรรมและกุฏิชั่วคราว 5 หลัง แต่ละหลังมุงหญ้ากั้นฝาขัดแตะ ปูพื้นกระดานเฉพาะศาลาโรงธรรม หลังคามุงด้วยสังกะสี แต่ปัจจุบันได้รื้อไปหมดแล้ว เสนาสนะที่สำคัญ คือ พระบรมธาตุเจดีย์ศรีพระมหาโพธิ์ หรือที่ชาวอุบลเรียกกันว่า พระธาตุหนองบัว สร้างเมื่อ พ.ศ. 2500 รอบองค์พระธาตุเป็นกำแพงแก้ว ซึ่งทั้ง 4 มุม ของกำแพงแก้ว ได้ประดิษฐานพระเจดีย์ขนาดเล็กอีก 4 องค์[2] ภายในองค์พระธาตุประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุซึ่งบรรจุไว้ในสถูปลงรักปิดทองศิลปะอินเดียแบบปาละ คือ เป็นสถูปทรงสี่เหลี่ยมสลักลายเรื่องพระเจ้า 500 ชาติ อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมเรียงเป็นแถวคั่นแถวด้วยลายกลีบบัว อุโบสถเป็นอาคารตรีมุข คือ มีหลังคายื่นออกไปเป็นสามด้าน หลังคารูปร่างโค้งมน มีระเบียงพาไลโดยรอบตกแต่งด้วยลวดลาย ศาลาการเปรียญกาญจนาภิเษก กุฏิที่สร้างแบบถาวรอีก 10 กว่าหลัง และสถานที่พยาบาลประจำ (อนามัย) สามพันโบก ![]() ที่มา https://thailandtourismdirectory.go.th สามพันโบก ตั้งอยู่ที่บ้านโป่งเป้า ตำบลเหล่างาม อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ที่รังสรรค์โดยธรรมชาติ "สามพันโบก" ซึ่งเป็นแก่งหินขนาดใหญ่ ถูกกัดเซาะกลาย เป็นแอ่งและหลุดมากมาย โดยผลงานของแม่น้ำโขงที่กัดเซาะแก่งหินนี้ ในช่วงฤดูน้ำหลากทุกๆปี ซึ่งเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่ทำให้เกิดเป็นแอ่งมากมายมากกว่า 3,000 โบก และฝั่งตรงข้างที่ห่างไปไม่ กี่เมตรก็เป็นฝั่งของประเทศเพื่อนบ้านของไทยเรานั้นคือประเทศลาว นอกจากจะมาเที่ยว สามพันโบกได้เห็นความงามของธรรมชาติแล้ว ยังได้เห็นวิถีชีวิตของการอยู่ร่วมกันระหว่างชาวไทยและชาวลาวริมฝั่งโขง ในช่วงหน้าแล้ง สามพันโบก จะโผล่พ้นน้ำให้เห็นเป็นเนินแก่งหินขนาดใหญ่กลางลำน้ำโขง ความสวยงามตระการตาของหินที่ถูกน้ำเซาะมองเห็นเป็นภาพศิลปะ บางแห่งใหญ่ขนาดเป็นสระว่ายน้ำ บางแอ่งขนาดเล็ก มีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่น รูปดาว วงรี มิกกี้เม้า และหินที่ถูกน้ำกัดเซาะจนดูคล้ายรูปหัวสุนัขพูเดิล มีความสวยงาม แกรนด์แคนยอน ลักษณะแกรนด์แคนยอนในรูปแบบของสามพันโบก มีลักษณะเป็นหน้าผา 2 ฝั่ง ถ้ามองให้ลึกเข้าไปอีกจะเห็นความละเอียดของการกัดเซาะจากลำน้ำโขง จะมีลักษณะเป็นรูป ใหญ่เล็กตามโขดหินริมหน้าผา ซึ่งจะทำให้ผู้พบเห็นเกิดความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ออกมาเป็นของขวัญให้กับมนุษย์ "ตำนานปู่จกปู" หลุมโบกที่เกิดขึ้นมากมาย ก่อเกิดเรื่องเล่า ปู่พาหลานมาจับปาบริเวณถ้างต้อน (ต้อนเป็นเครื่องมือดักปลาของคนอีสาน) บังเอิญไม่สามารถจับปลาได้จึงใช้มือล้วงปูหินริมน้ำโขงจนเกิดโบกจำนวนมาก ซึ่งโบกในภาษาไทย แปลว่า หลุม นั้นจึงแปลว่า สามพันหลุม การเดินทาง 1. รถยนต์ส่วนตัว จากตัวเมืองอุบลราชธานี วิ่งตามทางหลวงหมายเลข 2050 ผ่านอำเภอตระการพืชผล ไปยังอำเภอโพธิ์ไทร ระยะทางประมาณ 97 กิโลเมตร และเดินทางต่อไปยังบ้านสองคอนเข้าไปในหมู่บ้านอีกประมาณ 3 กิโลเมตร 2. รถโดยสารประจำทาง มีรถทัวร์ปรับอากาศของบริษัท เชิดชัยทัวร์จากกรุงเทพฯ - สองคอน ลงที่สองคอนหลังจากนั้นก็โทรแจ้งให้รีสอร์ทขับรถมารับ (เสียค่าใช้จ่ายแล้วแต่ตกลง) หรือ อาจจะอาศัยโบกรถของชาวบ้านมาลงแถวนั้น แม่น้ำสองสี ![]() ที่มา https://www.konderntang.com แม่น้ำสองสี หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ดอนด่านปากแม่น้ำมูล ตั้งอยู่ในเขตบ้านเวินบึก ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี อยู่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 84 กิโลเมตร แม่น้ำสองสี เป็นบริเวณที่แม่น้ำสำคัญ 2 สายคือ แม่น้ำโขง และแม่น้ำมูล ไหลมาบรรจบกัน ทำให้เกิดการเปรียบเทียบสีของแม่น้ำทั้งสองซึ่งแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยแม่น้ำโขงจะเห็นเป็นสีขาวขุ่น ส่วนแม่น้ำมูลเห็นเป็นสีเขียวอมฟ้า จึงเป็นที่มาของวลี “โขงสีปูน มูลสีคราม” จุดที่สามารถมองเห็นแม่น้ำสองสีได้อย่างชัดเจนคือ บริเวณลาดริมตลิ่งหน้าวัดโขงเจียม และบริเวณบางส่วนของหมู่บ้านห้วยหมาก ทั้งนี้เดือนเมษายนจะเป็นเดือนที่เห็นความแตกต่างของสีน้ำได้ชัดเจนที่สุด วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว ![]() ที่มา https://thailandtourismdirectory.go.th วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ตำบลช่องเม็ก อำเภอสิรินธร จังหวัดอุบลราชธานี วัดสิรินธรวรารามภูพร้าวหรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า วัดภูพร้าว บ้างเรียก วัดเรืองแสง ตามลักษณะอุโบสถ เดิมพื้นที่ตั้งวัดเป็นป่า มีหน้าผาสูง ไม่มีแหล่งน้ำ จึงไม่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ จนราว พ.ศ. 2495–2498 พระอาจารย์บุญมาก ฐิติปัญโญ เดินทางจากประเทศลาวมาพักปักกลดที่ภูพร้าว และสร้างวัดมีเนื้อที่สร้างวัดประมาณ 500 ไร่ และให้ชื่อว่า "วัดภูพร้าว" ต่อมาราว พ.ศ. 2516–2517 พระอาจารย์บุญมากได้เดินทางกลับไปยังวัดภูมะโรง เมืองจำปาสัก เนื่องจากเกิดความไม่สงบทางการเมืองในประเทศลาว วัดภูพร้าวจึงถูกปล่อยร้างเรื่อยมา เมื่อ พ.ศ. 2535 อำเภอสิรินธรได้แยกตัวออกจากอำเภอพิบูลมังสาหาร จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดมาเป็น "วัดสิรนธรวราราม" ตามชื่ออำเภอ จน พ.ศ. พ.ศ. 2542 พระครูกมลภาวนากร เจ้าอาวาสและผู้บูรณะพัฒนาวัดภูหล่น ตำบลสงยาง อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี ได้เข้ามาบูรณะวัดจนได้รับอนุญาตตั้งวัดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 ในนาม "วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว" มีเนื้อที่วัดทั้งหมด 15 ไร่ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2547 จุดเด่น คือ อุโบสถที่ผนังภายนอกมีงานพุทธศิลป์รูปต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสง ออกแบบโดยคุณากร ปริญญาปุณโณ ตัวอุโบสถมีต้นแบบมาจากวัดเชียงทอง ประเทศลาว เสาแต่ละต้นลงลวดลายด้วยมือ โดยรอบนอกเป็นลายดอกบัวและสัตว์ทั้งหลายตามคติบัว 4 เหล่า ทางเข้าเป็นต้นสาละ ต้นมะขามป้อม ต้นสมอ และด้านในสุดเป็นต้นโพธิ์ เบื้องหลังพระประธานในอุโบสถ แกะสลักไม้เป็นต้นโพธิ์ วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ ![]() ที่มา https://www.cityub.go.th วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ หรือ วัดใต้เทิง ตั้งอยู่ที่ถนนพรหมราช ในตัวเมืองอุบลราชธานี เป็นวัดเก่าแก่ที่เคยเป็นวัดฝ่ายวิปัสสนา ของพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล และพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ภายในพระอุโบสถมณฑปเพชร 7 แสงพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ เป็นที่ประดิษฐาน “พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ” พระพุทธรูปเนื้อทองสำริด ปางมารวิชัย มีความสำคัญเป็น 1 ใน 5 องค์ในจำนวนพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อทั้งหมดที่มีอยู่ในประเทศไทย เป็นที่เคารพนับถือของทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาว ภายในวัดยังมีโบราณวัตถุ ได้แก่ พระพุทธรูปปางยืนห้ามสมุทร 4 องค์ และพระพุทธรูปเจตมนเพลิงองค์ตื้อ (สีดำสนิท) หลักศิลาจารึกหินทราย 2 หลัก วิหารเฉลิมพระเกียรติ 200 ปี เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมงคลรัตนสิริธัญสถิตและเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุและทุกวันที่ 1 - 5 มีนาคม ของทุกปี มีงานเทศกาลอัญเชิญพระพุทธรูปเจตมุนเพลิงองค์ตื้อ เพื่อให้ประชาชนได้นมัสการสรงน้ำตลอด 5 วัน 5 คืน พัทยาน้อย ![]() ที่มา https://staffsport.ubru.ac.th หาดพัทยาน้อย หรือ ทะเลอีสานใต้ ตั้งอยู่ริมถนนสถิตนิมานการ บ้านใหม่ภูทอง อำเภอสิรินธร ห่างจากตัวเมืองประมาณ 60 กิโลเมตร ในฤดูแล้งระดับน้ำเหนือเขื่อนสิรินธรต่ำลงมาก จนเห็นเป็นหาดทรายขาวทอดตัวยาว สามารถลงเล่นน้ำได้ พื้นที่แห่งนี้จึงได้รับการพัฒนาให้เป็นจุดท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ และเล่นน้ำยอดฮิตของชาวอุบลราชธานี รวมไปจนถึงชาวอีสานใต้ในหลายๆ พื้นที่ใกล้เคียงกัน ที่นี่เพียบพร้อมด้วยบริการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ทั้ง ร้านอาหาร รีสอร์ท ร้านกาแฟ มีลักษณะเป็นเรือนแพกลางน้ำ แถมยังมีเครื่องเล่นทางน้ำ อย่างเช่น บานาน่าโบ๊ค เจ็ตสกีและห่วงยางให้บริการอีกด้วย วัดภูยอดรวย ![]() ที่มา https://pukmudmuangthai.com วัดภูยอดรวยตั้งอยู่ที่บ้านนาหว้า-ร่องเข ตำบลนาเลิน อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี สถานที่ประดิษฐานของหลวงพ่อยอดรวย 108 พระองค์ เจดีย์พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การปฏิบัติธรรม และเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์ภูยอดรวย ที่อยู่ท่ามกลางรอยต่อภูขาม ภูพระแก้ว ภูรี ภูลาน ภูใหญ่ และภูเห็ด อีกทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย และมีพระพุทธรูปและเจดีย์เล็ก ๆ สีขาวเรียงรายอยู่หลายองค์ ให้นักท่องเที่ยวได้แวะชมและสักการะกราบไหว้ ติดทององค์พระ ซึ่งเป็นองค์เจดีย์สีทองใหญ่ สถาปัตยกรรมแบบพม่าที่ล้อมรอบไปด้วยองค์เจดีย์สีขาวเรียงรายบนหน้าผาสวยงามตระการตา เมื่อกราบสักการะองค์เจดีย์สีทององค์ใหญ่แล้วก็มาถึงไฮไลต์ของวัดภูยอดรวย นั่นคือ บ่อหินขนาดใหญ่ หรือถ้ำของพ่อปู่พญานาค หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามศาสตร์เทวะมันตราพยากรณ์ ที่มีชื่อว่า ถ้ำรอด มีความยาวประมาณ 35 เมตร กว้างประมาณ 1.5 เมตร สูงประมาณ 1.2 เมตร เป็นที่ประดิษฐานของพญางูใหญ่นาคราชองค์สีดำสนิททั่วทั้งร่าง มี 5 เศียร ความยาว 40 เมตร อยู่ด้านล่างหน้าผาบริเวณถ้ำรอด เป็นประติมากรรมที่ทำออกมาได้เหมือนจริงมาก โดยส่วนหางและส่วนหัวจะอยู่คนละฝั่งของทางเข้าและทางออกถ้ำ ส่วนลำตัวจะพาดผ่านไปกับผนังหิน มองดูแล้วเหมือนองค์พญานาคมีชีวิตจริง ๆ เลย นอกจากนี้ด้านล่างจะมีแอ่งน้ำขนาดเล็ก ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เมื่อลงไปด้านล่างจะรู้สึกถึงความเย็น ถือได้ว่าสถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนเมืองแห่งบาดาลที่ผู้คนต่างก็มีความเชื่อและเดินทางเข้าไปกราบไหว้ไม่เว้นแต่ละวัน สถานที่แห่งนี้จึงเป็นแหล่งรวมคนที่มีความเชื่อและนับถือองค์พญานาคราชที่พากันเดินทางไปกราบไหว้ขอพร และประสบความสำเร็จกับคำกล่าวขอพรนั้น ๆ ทั้งนี้ ที่มาของพญานาคองค์ดำ ห้าเศียร นี้ พระอุทัย อุตฺตโม เจ้าอาวาส วัดภูยอดรวย เล่าว่า มีโยมมาเที่ยวที่วัด ท่านเลยพาเดินชมวัดและพาไปที่ถ้ำรอดแห่งนี้ รวมถึงได้พาเดินลอดถ้ำด้วย ระหว่างอยู่ในถ้ำมีโยมคนหนึ่งพูดขึ้นว่าเป็นพญางูใหญ่ จะให้น้ำที่นี่ใช้ ให้พากันมาสร้างฝายให้วัด (เนื่องจากที่วัดขาดน้ำ เพราะน้ำที่วัดทั้งใช้อุปโภค-บริโภค และให้สัตว์ป่า รวมถึงใช้ดับไฟป่าเกือบทุกปี) หลังจากนั้นได้มีการบอกบุญกันไปเรื่อย ๆ จนมีการเริ่มสร้างฝายให้วัด จนกระทั่งฝายเสร็จ และหลังจากฝายเสร็จประมาณ 1 เดือน ศิษย์พระอาจารย์ได้ฝันว่าจะมีผู้ให้ทรัพย์ ซึ่งหมายถึง บารมี ความเจริญ ความพัฒนา 3 คืนซ้อน แต่ต้องสร้างร่างให้พญางูใหญ่ จึงกลายมาเป็น พญานาคองค์ดำ ห้าเศียร ดังปัจจุบัน ให้ได้กราบไหว้สักการะกันนั่นเอง ภูจองนายอย ![]() ที่มา https://cbtthailand.dasta.or.th อุทยานแห่งชาติภูจองนายอย มีพื้นที่ประมาณ 686 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ตำบลนาจะหลวย อำเภอนาจะหลวย รวมถึงมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาว และกัมพูชา จึงได้รับการขนานนามว่า “สามเหลี่ยมมรกต” ประกอบด้วยภูเขาภูเล็กภูน้อยมากมาย เช่น ภูจองนายอย ภูจองน้ำซับ ภูจอง ภูจันทร์แดง ภูพลาญสูง ภูพลาญยาว เป็นต้น เป็นป่าเบญจพรรณ และป่าเต็งรังที่หนาแน่นสมบูรณ์ มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ เช่น สวนหินพลาญยาว จุดชมทิวทัศน์ผาผึ้ง แก่งศิลาทิพย์ มีน้ำตกห้วยหลวง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวโดดเด่นที่สุด คนท้องถิ่นเรียกน้ำตกนี้ว่า “น้ำตกบักเตว” เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ สูงประมาณ 45 เมตร มีลักษณะเป็นหน้าผาหิน โอบล้อมด้วยป่าไม้สีเขียวร่มรื่น พื้นน้ำเป็นสีมรกตสามารถลงเล่นได้ หรือจะนั่งเล่นกินบรรยากาศ หรือจะถ่ายรูปสวยๆ ก็ดีงามทั้งนั้น |