ประเพณีวัฒนธรรม



ที่มา https://www.thairath.co.th/news/society/2641145



งานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง



งานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง (Khao Phanom Rung Festival) ตั้งอยู่บ้านตาเป็ก ตำบลตาเป็ก อำเภอเฉลิมพระเกียรติ ห่างจากตัวเมืองบุรีรัมย์ลงมาทางทิศใต้ประมาณ 77 กิโลเมตร ประกอบด้วยโบราณสถานสำคัญคือ ปราสาทหินพนมรุ้ง ตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว สูงประมาณ 200 เมตร ซึ่งคำว่า "พนมรุ้ง" หรือ "วนํรุง" เป็นภาษาเขมรแปลว่า "ภูเขาใหญ่" นั่นเองโดยตัวปราสาทพนมรุ้งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ประกอบด้วยอาคารและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ที่ตั้งเรียงรายขึ้นไปจากลาดเขาทางขึ้นจนถึงปรางค์ประธานบนยอด อันเปรียบเสมือนวิมานที่ประทับของพระศิวะ บันไดทางขึ้นช่วงแรกทำเป็นตระพัง (สระน้ำ) สามชั้นผ่านขึ้นมาสู่พลับพลาชั้นแรก จากนั้นเป็นทางเดินซึ่งมีเสานางเรียงปักอยู่ที่ขอบทางทั้งสองข้างเป็นระยะ ๆ ถนนทางเดินนี้ทอดไปสู่สะพานนาคราช ซึ่งเปรียบเสมือนจุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนแห่งมนุษย์และสรวงสวรรค์ ด้านข้างของทางเดินทางทิศเหนือมีพลับพลาสร้างด้วยศิลาแลง 1 หลัง เรียกกันว่าโรงช้างเผือก สุดสะพานนาคราชเป็นบันไดทางขึ้นสู่ปราสาท ซึ่งทำเป็นชานพักเป็นระยะ ๆ รวม 5 ชั้น สุดบันไดเป็นชานโล่งกว้าง ซึ่งมีทางนำไปสู่สะพานนาคราชหน้าประตูกลางของระเบียงคด อันเป็นเส้นทางหลักที่จะผ่านเข้าสู่ลานชั้นในของปราสาท

ปราสาทหินพนมรุ้งเป็นศาสนสถาน ในลัทธิพราหมณ์และ ได้รับการแปลงเป็นพุทธสถานในสมัยหลัง ช่วงที่ถูกทิ้งร้างอยู่มีผู้นำพระพุทธบาทจำลองไปประดิษฐานไว้ที่ปรางค์น้อยบนเขา กลายเป็นประเพณีของชาวบ้านรอบ ๆ บริเวณนั้นพากันขึ้นไปนมัสการปิดทองรอย พระพุทธบาทนี้รวมทั้งไหว้พระทำบุญในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี เนื่องจากปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นโบราณสถานที่ยี่งใหญ่สวยงามและเป็นประเพณีแต่ดั้งเดิม จังหวัดจึงได้ส่งเสริมให้มีงานประเพณีในวันเสาร์-อาทิตย์แรกของเดือนเมษายน โดยจัดกิจกรรมต่างๆ อันเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมโบราณ ได้แก่ ขบวนแห่ราชประเพณีขอมโบราณ การแสดงแสง-เสียง ย้อนรอยอดีตพนมรุ้ง และการแสดงระเบิดภูเขาไฟจำลอง


เดือนเมษายนทุกปี (วันเพ็ญเดือนห้า)ประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๑ โดยความคิดริเริ่มของท่านเจ้าคุณโอภาสธรรมญาณ จากวัดท่าประสิทธิ์ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเดินทางมาเพื่อปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐานที่เขาพนมรุ้ง ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีทางขึ้นสู่ตัวปราสาท ผู้ที่สนใจอยากขึ้นชมปราสาทต่างคนต่างขึ้นมาเองโดยไม่กำหนดเวลาประกอบกับจังหวัดสุรินทร์มีประเพณีขึ้นเขาสวายในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ ของทุกๆ ปี ท่านเจ้าคุณโอภาสธรรมญาณเห็นว่าประเพณีขึ้นเขาเป็นสิ่งดี เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมกันทำบุญพบปะสังสรรค์ สร้างความสามัคคีและมีโอกาสได้พักผ่อนหย่อนใจอีกด้วย จึงริเริ่มให้จัดงานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้งเป็นครั้งแรกในวันเพ็ญเดือน ๕ ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ และประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้งก็ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาจนกระทั่ง ปัจจุบันเป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วงงานประเพณีขึ้นเขาพนมรุ้ง ทุกปีจะมีปรากฏการณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี คือในช่วงเวลานั้นเราจะมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นตรงตามความยาวของปราสาทเราสามารถมองลอดประตูทางด้านทิศตะวันตกฝ่ากรอบประตูต่างๆ กว่า ๑๐ กรอบ ทะลุผ่านประตูปรางค์ประธาน และทะลุออกซุ้มประตูหน้า ความยาว ๘๘ เมตร มองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นตรงกรอบประตูพอดี


งานประเพณีจัดขึ้นช่วง : วันเสาร์-อาทิตย์แรกของเดือน เมษายน



ที่มา https://nonvstangmo.wordpress.com



ประเพณีแข่งเรือยาวจังหวัดบุรีรัมย์



ท่ามกลางลมร้อน ในต้นเดือนมีนาคมของทุกปี ดอกลำดวนจะพากันบานสะพรั่งและส่งกลิ่นหอมขจรขจายในยามเย็น ทำให้อาณาบริเวณสวนสมเด็จพระศรีนครินทรศรีสะเกษ ซึ่งมีต้นลำดวนขึ้น ตามธรรมชาติมากมายมีมนต์เสน่ห์ที่สร้างความร่มรื่น และธรรมชาติที่สวยงามในท่ามกลางฤดูกาล ของวันเวลาที่ผันแปร แม้จะเป็นวันที่ลมร้อนและดินแล้งมาเยือน ต้นลำดวน เป็นไม้พื้นเมืองและเป็นสัญลักษณ์ประจำจังหวัดศรีสะเกษ มีความคงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ เปรียบเสมือนชีวิตนักสู้ ที่อดทนและเรียบง่ายของชาวศรีสะเกษ นอกจากนี้ดอกลำดวนยังเป็นสัญลักษณ์ของผู้สูงอายุสากล และเป็นสัญลักษณ์ผู้สูงอายุแห่งชาติ เพราะเป็นดอกไม้ดอกที่บานนานถึง ๒ เดือน กลีบดอกแข็ง กลิ่นหอมใบเขียวชอุ่มให้ร่มเงาตลอดปี ประดุจดั่งความดีงาม ของผู้สูงอายุ อันเป็นที่พึ่งให้ความร่มเย็นแก่ผู้อ่อนวัยตลอดกาล ดังนั้นทางจังหวัดจึงถือโอกาสอันดี ในช่วงนี้ จัดงานเทศกาลดอกลำดวนขึ้นเป็นประจำทุกปี ณ สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ศรีสะเกษ เทศกาลดอกลำดวน มีความสำคัญต่อชาวศรีสะเกษ เป็นอย่างมาก ในห้วงเวลาที่จะได้ร่วมเฉลิมฉลองพบปะไปมาหาสู่กันระหว่างพี่น้อง และเพื่อนพ้อง ต่างหมู่บ้านและอำเภอแสดงงออกถึงความสมานสามัคคีอันดีต่อกัน ณ บริเวณสวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นสถานที่ใช้จัดงานเทศกาลดอกลำดวน มีอาณาบริเวณกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ในงานยังมีกิจกรรมของการแสดงออกถึงวัฒนธรรมอีสานใต้ให้ได้ชมอีกด้วย อาทิเช่น การจัดโฮมแคนลำมูล การแสดง กันตรึม อาไย กระโน๊บติงตอง การสัมมนาประวัติศาสตร์ศรีสะเกษ การออกร้านจำหน่ายสินค้าพื้นเมืองอีสานใต้ และการจัดงานเลี้ยงพาแลง ( อาหารแบบพื้นเมือง) ท่ามกลางการแสดง แสง-เสียง ศรีพฤทเธศวร อันยิ่งใหญ่ ตระการตาในยามค่ำคืน ช่วยให้บรรยากาศของงานทรงคุณค่าและปลุกจิตสำนึกของชนรุ่นหลังให้หวงแหนอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรม ให้คงอยู่คู่แผ่นดินอีสานตลอดไป และนับว่าเป็นโอกาสอันดีในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดศรีสะเกษให้ เป็นที่รู้จักแก่บุคคลทั่วไป



ที่มา https://www.allthaievent.com/event/115/



เทศกาลเงาะ-ทุเรียนและของดีศรีสะเกษ



เทศกาลเงาะ-ทุเรียน จัดเป็นประจำทุกปีในช่วงเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน เป็นช่วงที่ผลไม้ต่างๆ ที่ปลูกได้ในพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษออกผลผลิตจำนวนมาก เช่น เงาะ ทุเรียน สะตอ กระท้อน ลำใย และอื่นๆ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ผลไม้และผลผลิตทางการเกษตร ผลิตภัณฑ์ OTOP และส่งเสิม การท่องเที่ยวทัวร์สวนเกษตร และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ของจังหวัดศรีสะเกษ ณ สนามศาลากลาง จังหวัดศรีสะเกษ มีการประกวดขบวนแห่ (ขบวนรถแห่ที่ตกแต่งด้วยผลไม้ และขบวนวัฒนธรรม รถเข็นดนตรีคณะกลองยาว)และการประกวดผลผลิตจากการเกษตร ซึ่งกิจกรรมในงาน มีการ จำหน่าย ผลไม้สดจากสวน สินค้าจากชุมชน (OTOP) ตลอดวัน มีการแสดงโปงลาง โรงเรียนสตรีสิริเกศ การแสดงเซิ้งสะไน จากราษีไศล การแสดงชุดศรีพฤทเธศวร ของโรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย การแสดงฟ้อนกลองตุ้ม จากกันทรารมณ์ ภาคกลางคืนมีการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้าน ชุดกันตรึม และเรือมอัมเร จาก ขุขันธ์ ชุดเรือมมะม้วด จาก ศรีรัตนะ ชุดรำตำต๊ะ จากอ.เมือง และการประกวดธิดาชาวสวน



ที่มา https://thaicultures.wordpress.com



ประเพณีบุญบั้งไฟมหกรรมผ้าไหมบึงบูรพ์



ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นงานบุญประเพณีของชาวไทยอีสานที่นิยมจัดในช่วงต้นฤดูฝน ด้วยความเชื่อว่าบุญบั้งไฟเป็นการบูชาพญาแถนบูชาอารักษ์หลักเมือง เพื่อขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล การจัดงานประเพณีบุญบั้ง ไฟ จึงแสดงให้เห็นถึงคติความเชื่อ และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ยังคงถือปฏิบัติอยู่ เนื่องจากเชื่อว่า หากปีใดงดบุญบั้งไฟ จะทำให้ท้องถิ่นของตน เกิดเภทภัย หากทำบุญดังกล่าวแล้ว ฝนจะตกต้องตามฤดูกาล ชาวบ้านจะอยู่เย็นเป็นสุขประเพณีบุญบั้งไฟมหกรรมผ้าไหมบึงบูรพ์ เป็นงานประเพณีที่อำเภอบึงบูรพ์จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยกำหนดเอาเสาร์แรกของเดือนมิถุนายนเป็นวันจัดงาน และผนวกเอากิจกรรมเกี่ยวกับผ้าไหมเข้าไว้ในงานประเพณีบุญบั้ง ไฟด้วย เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของท้องถิ่นและส่งเสริมให้มีการพัฒนาการผลิตผ้าไหมซึ่งเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงของอำเภอบึงบูรพ์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้น

กลับขึ้นไปด้านบนของหน้าเว็บ